ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ TMB Group 3 Blog

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

TMB เผยหนี้เสียในระบบแบงก์แนวโน้มเพิ่มหลังแข่งปล่อยสินเชื่อดุส่งสัญญาณเสี่ยง


          ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ระบุว่า จากตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ในระบบสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยออกมาเห็นได้ชัดว่าหนี้เสียที่มาจากหนี้เสียรายใหม่ในช่วงไตรมาสสองและสามปีนี้ เพิ่มขึ้น 1.0 และ  1.2  หมื่นล้าน ตามลำดับ จากปริมาณเพิ่มเฉลี่ยที่ 7,500 ล้านบาทต่อไตรมาสในช่วงปี 2553-54 เป็นการกลับไปแตะที่หลักหมื่นล้านอีกครั้งหลังช่วงวิกฤตซับไพร์มเป็นต้นมา


          ขณะที่หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นจากหนี้ที่เคยเจรจาปรับโครงสร้างหนี้มาแล้วเพิ่มขึ้น 3.0 และ 3.2 พันล้านบาท ตามลำดับ  สูงกว่าค่าเฉลี่ย 2.3 พันล้านบาทต่อไตรมาส เช่นกัน จึงสรุปได้ว่าหนี้เสียทั้งรายใหม่และเก่า กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

          การเพิ่มของหนี้เสียในจำนวนสูงเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงวิกฤติซับไพร์ม ซึ่งในครั้งนั้นเศรษฐกิจไทยถึงกับหดตัวถึงร้อยละ 2.3 ดังนั้น  การมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นจึงเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ  แต่การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในปัจจุบัน เกิดขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 2.6 ในเก้าเดือนแรกของปี  จึงกล่าวได้ว่า การมีหนี้เสียมากขึ้นจากรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 จากช่วงเดียวกันปีก่อน และหนี้เสียซ้ำซ้อนจากที่เคยปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วที่เพิ่มขึ้นเช่นกันถึงร้อยละ 60 เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังอย่างยิ่งและควรติดตามดูอย่างใกล้ชิด

         ถึงแม้การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียสินเชื่อส่วนบุคคลจะมาจากทุกๆรายการ ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อการบริโภคอื่นๆ และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยพบสัญญาณอันตรายในแง่การลดลงของคุณภาพสินเชื่อ ในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์มากที่สุด โดย สัญญาณดังกล่าววัดจากอัตราส่วนของ “สัดส่วนยอดสินเชื่อที่ปล่อยของสินเชื่อแต่ละประเภทกับสินเชื่อรวม" กับ “สัดส่วนยอด NPL แต่ละประเภทกับ NPL รวม"  (หรือ share ของสินเชื่อหารด้วย share ของ NPL นั่นเอง)  ถ้าหากอัตราส่วนดังกล่าวของสินเชื่อประเภทใดลดลง ก็หมายความสินเชื่อประเภทนั้น มีการเพิ่มของ NPL ที่เร่งตัวมากกว่าการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ  ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวของสินเชื่อเช่าซื้อรถปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญสองครั้ง คือ ช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพรม์ที่ลดจากระดับ 4 เท่า เหลือเพียง 2.5 เท่า  และ ในช่วงสามไตรมาสปีนี้ ที่ลดลงมาต่ำกว่าระดับ 2 เท่า ขณะที่สินเชื่อบ้าน กับ สินเชื่อส่วนบุคคลอื่นๆ  มีการลดลงของอัตราส่วนดังกล่าวไม่มากนัก คือจากระดับประมาณ 1.5 เท่า มาเป็น 1 เท่า

         ถึงแม้สัดส่วนหนี้เสียต่อปริมาณสินเชื่อของสินเชื่ออุปโภคบริโภคจะยังไม่สูงมาก แต่การลดลงของคุณภาพสินเชื่อดังกล่าวกลับเป็นสัญญาณเสี่ยง ให้หลายๆฝ่ายเฝ้าจับตามองระดับหนี้เสียที่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตได้ดี  แล้วถ้าหากเกิดเศรษฐกิจไทยเกิดสะดุดขึ้นมาจริงๆอีกครั้งหนึ่ง จะเกิดความเสียหายมหาศาลเพียงใด

อ้างอิงhttp://www.ryt9.com/s/iq03/1541288

สรุปจากตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ในระบบสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยออกมาเห็นได้ชัดว่าหนี้เสียที่มาจากหนี้เสียรายใหม่ในช่วงไตรมาสสองและสามปีนี้ เพิ่มขึ้น 1.0 และ  1.2  หมื่นล้าน ตามลำดับ จากปริมาณเพิ่มเฉลี่ยที่ 7,500 ล้านบาทต่อไตรมาสในช่วงปี 2553-54 เป็นการกลับไปแตะที่หลักหมื่นล้านอีกครั้งหลังช่วงวิกฤตซับไพร์มเป็นต้นมา

การเพิ่มของหนี้เสียในจำนวนสูงเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงวิกฤติซับไพร์ม ซึ่งในครั้งนั้นเศรษฐกิจไทยถึงกับหดตัวถึงร้อยละ 2.3 ดังนั้น  การมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นจึงเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ  แต่การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในปัจจุบัน เกิดขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 2.6 ในเก้าเดือนแรกของปี  จึงกล่าวได้ว่า การมีหนี้เสียมากขึ้นจากรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 จากช่วงเดียวกันปีก่อน และหนี้เสียซ้ำซ้อนจากที่เคยปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วที่เพิ่มขึ้นเช่นกันถึงร้อยละ 60 เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังอย่างยิ่งและควรติดตามดูอย่างใกล้ชิด

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สรุปข่าวเด่นประจำสัปดาห์

12 พฤศจิกายน - 18 พฤศจิกายน 2555


TMB จัดวงเงินกู้ 420 ลบ.ให้ GLOBAL ใช้ซื้อวัสดุนำเข้าจากตปท.-ขยายสาขา




 ทางธนาคารทหารไทย ได้สนับสนุนการให้วงเงินกู้แก่ บริษัทโกลบอลเฮาส์ 420 ล้านบาท ทั้งนี้ทางธนาคารทหารไทย มองว่าการได้ร่วมลงทุนกับเครือปูนซีเมนต์ไทย SCC กับ Siam Global House จะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำให้กิจการเจริญเติบโตไปได้อีก

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

TMB จัดวงเงินกู้ 420 ลบ.ให้ GLOBAL ใช้ซื้อวัสดุนำเข้าจากตปท.-ขยายสาขา


นายวิกรานต์ ปวโรจน์กิจ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบรรษัทธุรกิจ ธนาคารทหารไทย (TMB) สนับสนุนวงเงินหมุนเวียนทั้งหมดจำนวน 420 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงวงเงิน Trade Finance ให้กับบมจ. สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) เพื่อให้สามารถนำวงเงินนี้ไปหมุนเวียนในการซื้อวัสดุนำเข้าจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังมองว่าการเข้าร่วมทุนของเครือปูนซีเมนต์ไทย (SCC) กับสยามโกลบอลเฮ้าส์ จะนำมาซึ่งการเพิ่มศักยภาพและสนับสนุนให้สามารถเติบโตไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย  และยอมรับในการทำตลาดแบบยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองว่าส่งผลดีต่อการขยายตัวของบริษัทมาก

ด้านนายวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GLOBAL กล่าวว่า บริษัทเตรียมที่จะขยายสาขาต่อให้ครบ 20 แห่งภายในปีนี้จากเดิมที่มีอยู่ 16 แห่งในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะเข้ามาตั้งสาขาในกรุงเทพฯด้วย
อนึ่ง เมื่อเร็วๆนี้ทางกลุ่มปูนซิเมนต์ไทยได้เข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจด้วยการถือหุ้นในบริษัทถึง 30%  ประกอบกับมีการเติบโตของยอดขายที่สูงขึ้นจากปีที่แล้วถึง 40% และ 27% จากไตรมาสที่ 1 ของปีนี้
การขยายสาขาทำให้บริษัทได้ประโยชน์จาก Economy of Scale และเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับซัพพลายเออร์ด้วย โดยเน้นการลงทุนบนพื้นที่ของบริษัทเองจึงทำให้คุ้มกว่าในระยะยาว ซึ่งนอกจากพื้นที่ในต่างจังหวัดแล้ว บริษัทยังมีที่ในเมืองทองธานีอีก 140 ไร่ รวมมูลค่า 400 กว่าล้านบาท และยังสามารถขยายกิจการต่อไปได้อีกในอนาคต

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/iq05/1531064

สรุปข่าว : ทางธนาคารทหารไทย ได้สนับสนุนการให้วงเงินกู้แก่ บริษัทโกลบอลเฮาส์ 420 ล้านบาท ทั้งนี้ทางธนาคารทหารไทย มองว่าการได้ร่วมลงทุนกับเครือปูนซีเมนต์ไทย SCC กับ Siam Global House จะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำให้กิจการเจริญเติบโตไปได้อีก

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

TMB ให้สินเชื่อหมุนเวียน SGP 1.5 พันลบ.รองรับขยายธุรกิจใน-ตปท.


       
          นายปิติ  ตัณฑเกษม  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ธนาคารทหารไทย(TMB)  เปิดเผยว่าธนาคารได้สนับสนุนทางการเงินครบวงจร โดยจัดวงเงินสินเชื่อ Combined Line มูลค่า 1,500 ล้านบาท แก่ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) ซึ่งเป็นบริษัทค้าก๊าซปิโตรเลียมอันดับ 2 ในประเทศรองจากปตท.ให้นำไปใช้เพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ

          ด้านนายวรวิทย์  วีรบวรพงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร SGP  กล่าวว่า ในปี 55 คาดว่ารายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด เติบโตตามเป้าหมายที่ 30% จากปีก่อนหรือประมาณ 50,000 ล้านบาท จากปัจจัยหนุน 2 ทาง คือจากการบริโภคในประเทศ   โดยเฉพาะในภาคครัวเรือนซึ่งทำให้แอลพีจีขยายตัวต่อเนื่อง 
และการเข้าไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Chevron Ocean Gas & Energy Ltd. และ BP Zhuhai (LPG) Limited ซึ่งเป็นคลังแก๊สขนาดใหญ่ในซัวเถา และจูไห่ รวมถึงมีกิจการ Supergas Company Limited ในเวียดนามและได้เข้าซื้อกิจการ Shell Gas (LPG) Singapore Pte. Ltd.ในสิงคโปร์ จึงทำให้ขณะนี้บริษัทมีคลังเก็บแอลพีจีที่รวมแล้วใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออก
ทั้งนี้ ภายในปี 55 สัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายแอลพีจีในประเทศกับต่างประเทศจะเปลี่ยนไป จากเดิมมีสัดส่วนในประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 50:50 ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็น 40:60   ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถรองรับการเติบโตของภาคพลังงานในประชาคมอาเซียนต่อไปได้
          “หากรัฐบาลมีการลอยตัวราคาก๊าซของภาคครัวเรือนให้เท่ากับภาคอุตสาหกรรม ก็จะเป็นโอกาสให้สามารถนำเข้าแก๊สเพื่อเข้ามาทำตลาดในประเทศได้ โดยในปัจจุบันบริษัทฯ เองก็ได้มีการนำเข้าแก๊สจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางอยู่แล้ว  แต่ส่งตรงเข้าไปสู่ประเทศในอาเซียนและจีน  ยังไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทยเนื่องจากปัญหาทางด้านต้นทุน ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตเกือบเท่าตัวเพราะสามารถขายในราคาที่ไม่ต้องถูกควบคุมได้  "นายวรวิทย์ กล่าว

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/iq10/1526667

สรุปข่าว : ธนาคารได้สนับสนุนทางการเงินครบวงจร โดยจัดวงเงินสินเชื่อ Combined Line มูลค่า 1,500 ล้านบาท แก่ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) ซึ่งเป็นบริษัทค้าก๊าซปิโตรเลียมอันดับ 2 ในประเทศรองจากปตท.ให้นำไปใช้เพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ส่วนด้านนายวรวิทย์  วีรบวรพงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร SGP  กล่าวว่า ในปี 55 คาดว่ารายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด เติบโตตามเป้าหมายที่ 30% จากปีก่อนหรือประมาณ 50,000 ล้านบาท จากปัจจัยหนุน 2 ทาง คือจากการบริโภคในประเทศ   โดยเฉพาะในภาคครัวเรือนซึ่งทำให้แอลพีจีขยายตัวต่อเนื่อง และการเข้าไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Chevron Ocean Gas & Energy Ltd. และ BP Zhuhai (LPG) Limited