ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ของธนาคารทหารไทย(TMB)
ประเมินว่าจากกรณีที่การลงทุนของภาครัฐในระดับต่ำในช่วงกว่าทศวรรษที่
ผ่านมาทำให้เราสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรเมื่อ
เทียบกับประเทศอาเซียนพบว่ามาเลเซียมีการลงทุนของภาครัฐสูงกว่าไทย
เป็นเท่าตัว
จึงไม่แปลกเลยที่มาเลเซียได้รับการจัดอันดับความสามารถในการ
แข่งขันในปี 2554 โดยสถาบันพัฒนาการบริหารจัดการระหว่างประเทศ (IMD)
แห่งสวิตเซอร์แลนด์ ให้อยู่ในอันดับที่ 16
เป็นรองแค่จากสิงคโปร์ในอาเซียน ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับ 27
แม้เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน แต่ IMD ได้ระบุชัดเจนว่า ปัจจัยหนึ่ง
ที่เป็นจุดอ่อนของเรา คือโครงสร้างพื้นฐานซึ่งอยู่เพียงแค่อันดับที่
42 หากเราไม่เร่งจำกัดจุดอ่อนในข้อนี้แล้ว
เราจะสูญเสียโอกาสอย่างมากเมื่อก้าวสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
อย่างเต็มรูปแบบในปี 2556
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเม็ดเงินงบประมาณที่เจียดไว้สำหรับการลงทุน
เรียกได้ว่าแทบไม่ทำให้การลงทุนของรัฐเพิ่มเท่าที่ควรจะเป็น
สวนทางกับการเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นมากดูได้
จากในช่วงปี 2546-2551
การลงทุนภาครัฐมีสัดส่วนเฉลี่ยเพียง 6.8%
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)
เท่านั้นลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี
2540 และแม้แต่ช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2541-2545 ที่มีสัดส่วน 8.4% ของ GDP ล่าสุดในปี 2554 สัดส่วนการลงทุนภาครัฐได้ลดลงไปอีกอยู่ที่ 5.5% ของ GDP เท่านั้น
แม้ว่ายังมีเม็ดเงินลงทุนภายใต้พ.ร.ก.ไทยเข้มแข็งตกค้างท่ออยู่
ก็ตาม แต่เหตุอุทกภัยในช่วงปลายปี
ทำให้เกิดการหยุดชะงักในกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ
การลงทุนภาครัฐจึงแผ่วลงไปอีก และเชื่อว่า ส่งผลต่อเนื่องไปในปี
2555 แม้งบรายจ่ายลงทุนในปี 2555 จะสูงกว่าปีก่อนหน้าก็ตาม
แต่การลงทุนผ่านพ.ร.ก.กู้เงินบริหารจัดการน้ำฯ
จะมีการเบิกจ่ายในปีนี้ไม่มาก (สศค.คาดที่ 3 หมื่นล้านบาท และ 2.1
แสนล้านบาท ในปี 2555 และ 2556) ทำให้การลงทุนภาครัฐอยู่เพียงประมาณ
4% ของ GDP เท่านั้น
ล่าสุดร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 มีวงเงินถึง 2.4
ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 2 หมื่นล้านบาท
ซึ่งยังคงขาดดุลต่อเนื่องจากปีก่อนๆ โดยตั้งงบขาดดุลที่ 3 แสนล้านบาท
ต่ำกว่าปี 2555 ที่ตั้งขาดดุล 4 แสนล้านบาท
หากดูเฉพาะงบการลงทุนจะจัดสรรไว้ที่ 4.67 แสนล้านบาท หรือ 20%
งบประมาณรวม
เป็นตัวเลขที่ดูดีโดยยังไม่นับการลงทุนเพิ่มเติมตามกฎหมายพิเศษ
เช่น พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำฯ วงเงินอีก 3.5
แสนล้านบาท
ดังนั้นหากไม่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ ฉุดบรรยากาศการลงทุนแล้ว
เม็ดเงินลงทุนภาครัฐที่ผ่านงบประมาณและพ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำฯ
รวมแล้วจะอยู่ที่ 6.77 แสนล้านบาท
(ยังไม่นับรวมแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในช่วงปี 2555-2559
วงเงิน 2.27 ล้านบาท ที่ยังไม่มีความชัดเจนของการลงทุนในแต่ละปี)
ทำให้สัดส่วนการลงทุน ภาครัฐจะกลับไปสูงใกล้เคียงกับปี 2554
เป็นสัญญาณที่ดีของการลงทุนภาครัฐในระยะต่อไปและจะเป็นปัจจัยสนับสนุน
การฟื้นตัวและการเจริญเติบโตในระยะยาวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามหนี้ก้อนใหญ่ที่พอกพูนขึ้นเนื่องจากเรามีข้อจำกัดของงบ
ประมาณรายรับในแต่ละปีจะทำให้ภาระหนี้ของประเทศเข้าใกล้จุดอันตราย
มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับหลายๆประเทศในยุโรปกำลังประสบปัญหาอยู่
ในขณะนี้
ที่สร้างหนี้สาธารณะไว้มากมายแต่สุดท้ายกลับไม่สามารถเพิ่มศักยภาพของ
เศรษฐกิจได้เลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้น
ประสิทธิภาพของบริหารจัดการโครงการการลงทุน
เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้
เพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดและบั่นทอน การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว
ที่มา : ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี
Credit : http://www.ryt9.com/s/nnd/1416582
วิเคราะห์ข่าว : ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ของธนาคารทหารไทย(TMB)
ประเมินว่าจากกรณีที่การลงทุนของภาครัฐในระดับต่ำในช่วงกว่าทศวรรษที่
ผ่านมาทำให้เราสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรเมื่อ
เทียบกับประเทศอาเซียนพบว่ามาเลเซียมีการลงทุนของภาครัฐสูงกว่าไทย
เป็นเท่าตัว และในขณะนี้
ที่สร้างหนี้สาธารณะไว้มากมายแต่สุดท้ายกลับไม่สามารถเพิ่มศักยภาพของ
เศรษฐกิจได้เลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้น
ประสิทธิภาพของบริหารจัดการโครงการการลงทุน
เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้
เพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดและบั่นทอน การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว
ผู้เสนอข่าว : นายธงไชย เขมาธร ID53112804112
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น